เพื่อนๆช่างภาพมือใหม่ที่เริ่มเข้ากลุ่มถ่ายภาพแนวไลฟ์ พอได้มีโอกาศไปออกทริปกับโปรสายไลฟ์ มักจะสังเกตุเห็นว่าพวกเขาชอบใช้บั้งข้าวหลามในการถ่ายภาพแนวนี้กันแทบทุกคน และพอเราเข้ากลุ่มไปได้สักพักแล้วละก็ หากคุณยังไม่มี 70-200mm ติดกล้องในการออกทริปเหมือนคนอื่น ก็มักจะถูกถากถางเป็นเรื่องสนุกในกลุ่มก้วนถ่ายภาพไม้แพ้กรณีลิเวอร์พูล vs แมนยู อะไรประมาณนั้นเลย แล้วมันก็เป็นเหตุให้คุณต้องได้เสียตังค์ไปถ่อยเลนส์ระยะนี้มาใช้ในไม่ช้าก็เร็ว แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นเราลองมาวิเคราะห์กันดูไหมครับว่าทำไม เลนส์ 70-200mm ถึงได้รับความนิยมในการถ่ายภาพแนวนี้
1.เด็ปสวยด้วยระยะเทเลโฟโต้ แน่นอนเลนส์ระยะ 70-200mm ไม่ว่าเราจะเปิดค่า f ก้างสุดหรือจะหรี่ลงมาสัก f/8 หากเราถอยไกลจากแบบและบิดจนเกือบสุด เด็ปของภาพที่ได้ก็ยังจะละลายสวยงามอยู่ดี แถมระยะที่ยาวกว่ายังช่วยถีบฉากหลังให้หลุดจากแบบ ทำให้เกิดเอกภาพของซับเจ็คหลัก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของการถ่ายภาพแนวนี้
ภาพจากเลนส์ 70-200 mm f/2.8
2.แล้ว 50mm 85mm ใช้ได้ไหม คำตอบก็คือได้แน่นอน แต่มิติของภาพก็จะต่างกันออกไป เพราะถ้าเราต้องการภาพในแบบชัดตื้นเพื่อสร้างเอกภาพของภาพ เลนส์ทั้งสองก็ทำได้เช่นกัน แต่ด้วยระยะที่ใกล้กว่าทำให้มิติในการแยกฉากหลังออกจากแบบทำได้น้อยกว่า คงทำได้เพียงทำให้ฉากหลังเบลอๆ ซึ่งการเบลออย่างเดียว บางที่ภาพก็สื่อเนื้อหาไม่ได้ว่าคนๆนั้นกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ที่ไหน ซึ่งถ้าเป็นผม ผมมักเลือกใช้ระยะ 50mm และ 85mm ในการถ่ายภาพพอตเทรตระยะครึ่งตัวเข้ามาหาเฮ็ดช็อท เพื่อเก็บอารมณ์และแววตาของแบบเสียมากกว่า แต่แนวไลฟ์นั้นส่วนใหญ่ผมมักถ่ายระยะเต็มตัว และแบบก็ไม่มองกล้องเลย ถ่ายเน้นเก็บเรื่องราวให้เห็นว่าแบบกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ เลนส์ระยะ70-200mm จึงตอบโจษย์ในการถ่ายแนวนี้มากกว่า ที่เขาเรียกภาษาบ้านๆว่า "ระยะถีบ" มันมากกว่านั่นเอง
ภาพจากเลนส์ 85 mm f/1.8
3.จำลองภาพแคนดิต ด้วยเนื้อหาของแนวไลฟ์เป็นการถ่ายภาพเรื่องราวของชีวิตของผู้คน ซึ่งผู้ชมภาพจะได้เห็นภาพในฐานะของผู้สังเกตุการณ์ หรือจะเรียกว่ามุมมองของบุคคลที่สามก็ว่าได้ ดังนั้นภาพถ่ายแนวนี้ไม่ว่าเราจะถ่ายด้วยวิธีแคตดิตจริงๆหรือจะเป็นการเซ็ทถ่ายก็ตาม ช่างภาพก็มักจะจำลองว่ามันเป็นการแอบถ่ายเหตุการณ์นั้นๆอยู่ดี โดยแบบจะไม่มองมาที่กล้องแต่พวกเขาจะสนใจในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ณ เวลานั้นๆแทน ดังนั้นการใช้เลนส์ระยะ 70-200mm ยิงมาจากระยะใกล้จึงเสมือนการเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมจริงๆสมจัังนั่นเอง
4.ไม่เป็น "อาบัง" เพื่อนๆที่เคยออกทริปถ่ายภาพแนวนี้เป็นที่รู้กันดีว่าคนที่ใช้เลนส์ระยะสั้นๆมักได้ภาพน้อยกว่าเพื่อน ด้วยเพราะแทรกเข้าไปถ่ายไม่ได้ เพราะหากคุณมุดเข้าไป มันก็จะขวางเพื่อนคนอื่นๆทันทีและมักจะถูกเพื่อนล้อทันที เสียงตะโกน "อาบังๆๆๆๆๆๆๆๆ" จะกดดันคุณทันที ดังนั้นในทริปใหญ่ๆจึงมีการแบ่งกลุ่มเข้าถ่ายตามระยะเลนส์ โดยแบ่งเป็นเลนส์สั้นกับเลนส์ยาว แต่ที่แน่ๆ คนที่ติด 70-200mm ก็จะได้เปรียบเป็นที่สุดด้วยการยืนยิงมาจากระยะไกลได้เลย ผมจัดทริปมาหลายต่อหลายครั้งในหนึ่งซีนช่างภาพที่ใช้เทเลสามารถเข้าเบียดถ่ายพร้อมกันได้มากถึง 20 คนเลยก็มี
5.เลนส์สั้นอยากถ่ายเยอะทำไงดี อย่างที่ผมกล่าวในตอนแรกๆว่าเลนส์สั้นนั้นก็สามารถถ่ายแนวไลฟ์ได้เช่นกัน เพียงแต่มันต้องปั้นมุมกันยากกว่าหน่อย ดังนั้นมันเหมาะที่จะใช้ถ่ายตอนที่สมาชิกในก้วนมีไม่มากถ่ายกันสองสามคนพอได้ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าการเซ็ทถ่ายภาพแนวไลฟ์มีต้นทุนที่สูงเอาการ มันก็จะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น หากเรารับได้ก็ไร้ซึ่งปัญหา หลายคนจึงเลือกที่จะไปออกทริปใหญ่กันดีกว่าเพราะหารแล้วตกกันเพียงสองถึงสามพันบาทเอง ส่วนตัวผมเคยเซ็ทถ่ายซีนแพงสุดผมต้องทุ่มทุนถึง สองหมื่นบาทก็เคยทำกันมาแล้ว
สรุป จากประสบการณ์กว่าสิบปีในการถ่ายภาพแนวนี้ของผม ผมเป็นอีกคนที่ของยืนยันว่าการถ่ายภาพแนวไลฟ์แบบนี้ การใช้เลนส์เทเล 70-200mm ถ่ายนั้นมันเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเลนส์อื่นๆก็ใช้ถ่ายได้เช่นกัน เพียงแต่กระบวนการทำงานก็จะยุ่งยากกว่าหน่อย ส่วนความงามทางศิลปะของภาพนั้นมันก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือและมุมมองของช่างภาพแต่ละคน ใครที่มีความคิดสร้างสรรค์และสั่งสมประการณ์ฝึกฝนฝีมือมามากกว่า ก็มักมีผลงานที่ดี โดยความคิดถูกอยู่เหนืออุปกรณ์แน่นอนอย่างเถียงไม่ได้แน่นอน
Comments